ยุคโลกาภิวัฒน์ เป็นยุคที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและสังคมอย่างรวดเร็ว ด้วยพลังแห่งเทคโนโลยีสารสนเทศ และด้วยพลังแห่งเทคโนโลยีสารสนเทศ นั่นเองยังผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง รูปแบบการทำสงคราม บังเกิดสงครามในรูปแบบใหม่ ที่เรียกว่าคือ ‘สงครามไซเบอร์’ (Cyber warfare) หรือ การใช้เทคโนโลยีเพื่อการทำสงคราม
แม้จะฟังดูแล้วไม่คุ้นชินเท่าไรนัก แต่ในฐานะที่ได้มีโอกาส ติดตามข่าวสารรอบโลก ทำให้สามารถอุปมาได้ว่า สงครามในรูปแบบดังกล่าว เป็นสงครามรูปแบบใหม่ที่ใช้พื้นที่ในโลกไซเบอร์เป็นสมรภูมิรบ เพื่อปะทะกันในรูปแบบต่างๆกันอย่างดุเดือด
สงครามไซเบอร์ (Cyber Warfare) คือ การใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตในการทำสงคราม วิธีการโจมตีกันมีหลายรูปแบบ ตั้งแต่ชนิดเบาที่สุดจนถึงรุนแรงที่สุด อาทิ
– การโจมตีเว็บ หรือ บล็อคเว็บ
– การโฆษณาชวนเชื่อด้วยการเผยแพร่ข้อมูลด้านการเมืองผ่านอินเตอร์เน็ต
– การเจาะข้อมูลลับ โดยแฮกเกอร์
– การทำลายอุปกรณ์ด้านการทหารที่ใช้คอมพิวเตอร์ควบคุมการทำงาน หากระบบคอมพิวเตอร์ถูกทำลาย อาวุธนั้นก็ทำงานไม่ได้ หรือทำงานไม่แม่นยำ
– การโจมตีโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ไฟฟา ประปา การสื่อสาร การขนส่งและคมนาคม ซึ่งระบบเหล่านี้มักควบคุมโดยระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นจุดอ่อนต่อการโจมตีมาก
สงครามไซเบอร์ได้อุบัติขึ้นแล้วในหลายประเทศ จะเห็นได้ชัดจาก ในช่วงสงครามอ่าวที่สหรัฐโจมตีอิรัก และสงครามอิรักครั้งที่สอง ขณะนั้นสิ่งที่สหรัฐต้องทำก่อนอื่นคือ ทำลายเครือข่ายคอมพิวเตอร์และอีเล็คโทรนิคของอิรักที่ใช้ควบคุมระบบการยิงของอาวุธ
และเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2007 ก็เป็นข่าวครึกโครมไปทั่วโลก เมื่อประเทศเอสโทเนีย ถูกโจมตีด้วยไซเบอร์อย่างหนัก รัฐสภา กระทรวง ทบวง กรม ธนาคาร และสื่อสารมวลชนต่าง ๆ จนข้อมูลเสียหายพังยับเยิน
เวลาห่างกันเพียง 5 เดือน ตึกเพนทากอน กระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกา และที่ทาการรัฐบาลของฝรั่งเศส เยอรมัน และอังกฤษ ถูกโจมตีด้วยคอมพิวเตอร์ ได้รับความเสียหายอย่างหนัก เมื่อต้นเดือนกันยายนปี 2007
สงครามไซเบอร์ จึงถูกยกให้เป็นหนึ่งในสมรภูมิรบอับดับ 4 ที่มนุษย์นำมาประหัดประหารซึ่งกันและกันในทางอ้อม รองจาก สมรภูมิรบทางบก ทางทะเล และทางอากาศ
กระทั้ง นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ ‘เดวิด คาเมรอน’ ประกาศให้ หน่วยการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ยกระดับให้สงครามไซเบอร์ ขึ้นมาเป็นหนึ่งในภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักร
นอกจากนั้น นิตยสารนิวยอร์ก ไทม์ ยังมีรายงานว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยค้นพบ โปรแกรมซอฟแวร์ที่เป็นอันตรายที่ เรียกว่า Stuxnet ที่ได้แทรกซึม เข้าไปอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของ โรงงานและมีการแพร่กระจาย การโจมตีครั้งแรกในโครงสร้างพื้นฐาน อุตสาหกรรมที่สำคัญที่ตั้งอยู่ที่รากฐาน ของเศรษฐกิจที่ทันสมัย
จุดประสงค์ของกลุ่มนักรบไซเบอร์ นอกจากจะมุ่งหมายต่อทรัพย์สินที่ได้จาก การยักยอกจากการโจมตีข้อมูลทางการ เงินแล้ว ยังมุ่งหมายให้เกิดความหวาด กลัว ดังเช่นกรณีที่ ‘ไซเบอร์คอลิฟะห์’
กลุ่มแฮกเกอร์ซึ่งอ้างตัวว่ามีความเชื่อมโยงกับกลุ่ม ‘รัฐอิสลามในอิรักและซีเรีย’ ก่อเหตุแฮกเจาะระบบบัญชีผู้ใช้ทวิตเตอร์หลายบัญชี รวมถึงแฮกทวิตเตอร์ นิตยสารนิวส์วีค เพื่อโพสต์ข้อความข่มขู่ นางมิเชล โอบามา สุภาพสตรีหมายเลข 1 แห่งสหรัฐฯ พร้อมขู่จะกำลังจับตาดูเธอ พร้อมทั้งจะตามล่าเธอและครอบครัว
การสร้างตัวละคร ‘ไอซิลจัง’ ของชาวญี่ปุ่น ก็เป็นอีกหนึ่งของ ‘สงครามไซเบอร์’ ที่สร้างความฮือฮาให้กับทั่วโลกเป็นการสงครามแบบ ‘Google Bomb’ หรือ การลบภาพความโหดร้าย ด้วยการสร้างการ์ตูน เพื่อเป็นตัวละครแทนตัวนักรบในกลุ่มไอเอส ลงไปในสื่อสังคมออนไลน์ หวังโจมตีกลุ่มไอเอส ด้วยการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ ของกลุ่มญิฮัดในโลกอินเตอร์เน็ต ด้วยการล้อเลียน แฝงด้วยนัยยะอย่างลึกซึ้ง
จุดประสงค์คือ มุ่งหวังให้ผู้ที่ค้นหาคีย์เวิร์ด เกี่ยวกับกลุ่มไอเอส พบกับภาพตัวการ์ตูนเหล่านี้แทนภาพความโหดเหี้ยมทารุณจากที่เคยเป็น
ทั้งยังเป็นการตอบโต้ การสังหารโหดตัวประกันชาวญี่ปุ่น 2 รายอย่างโหดเหี้ยมด้วยการฆ่าตัดศีรษะ ซึ่งทำให้โลกยกย่องชาวญี่ปุ่นในข้อที่ว่า แม้จะถูกกระทำด้วยความรุนแรง แต่กลับตอบโต้ด้วยวิธีแบบสันติวิธีกลับไป
แต่คงไม่มีเหตุการณ์ไหนที่นิยามคำว่า สงครามออนไลน์ได้ดีเท่ากับ กรณี โซนี่พิกเจอร์ ผู้ผลิตภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่ของฮอลลีวูดอย่างหนังเจ้าปัญหาเรื่อง ‘ดิ ดินเทอร์วิว’ หนังลอบสังหารนาย ‘คิม จองอึน’ ผู้นำสูงสุดแห่งดินแดนโสมแดง
ที่ถูกมือดี นามว่า ‘GOP’ หรือ Guardians of Peace สวมบทบาทแฮกเกอร์เจาะระบบข้อมูลของล้วงความลับ สาวไส้ได้รับความเสียหายหนัก พร้อมข่มขู่ไม่ให้ทางต้นสังกัดฉายหนังเรื่องดังกล่าว ทั้งข้อมูลที่เป็นความลับสุดยอดที่ถูกนำออกมาเปิดเผย และยังปิดตายเครื่อข่าวของโซนี่ฯ เป็นเวลานานหลายวัน ทำให้ทางโซนี่ พิกเจอร์สูญรายได้กว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3,200 ล้านบาท
ทั้งยังขู่ก่อการร้ายในโรงภาพยนตร์ โดยยกเหตุการณ์วินาศกรรม 9/11 ที่เกิดขึ้นที่สหรัฐฯ หากโซนี่ พิกเจอร์ ยังดึงดันจะฉายหนังเรื่องดังกล่าว โดยกำหนดการณ์เดิมในวันที่ 25 ธ.ค. ปี 2557 ที่ผ่านมา ถือเป็นหนึ่งในการสร้างความหวาดกลัว ด้วยการข่มขู่ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ในรูปแบบของการคุกคามในโลกออนไลน์ที่เกิดขึ้นจริง และทำให้โซนี่ต้องถอดผังการฉายหนังเรื่องดิ อินเทอร์วิว ออกจากโรงภาพยนตร์ในที่สุด
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้หลายประเทศ และ องค์กรต่างๆ ทั่วโลก ตระหนักถึงความไม่มั่นคงในโลกไซเบอร์ จำต้องทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อปกป้องข้อมูลลับ
เช่นเดียวกับรัฐบาลไทยที่กำลังผลักดัน ร่างพ.ร.บ.ความมั่นคงไซเบอร์ หลายฝ่ายเห็นดี เพียงขอให้ อย่าละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ก็เพียงพอ